สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำเรื่องราวการถอดบทเรียน “10 ปี พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2555” โดย สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้เปิดเผยในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2565 มาบอกเล่ากับท่านผู้อ่าน ซึ่ง “คนไร้รัฐ-ไร้สัญชาติ” ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงบริการของรัฐตามสิทธิที่พลเมืองคนหนึ่งต้องได้รับ เป็นปัญหาที่ประเทศไทยพยายามแก้ไขมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 28-29 พ.ค. 2565 กสม. ร่วมกับมูลนิธิชุมชนไท ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย วิทยาลัยนวัตกรรมเพื่อสังคมและคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต สำนักข่าว The Reporter และสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการไทยพีบีเอส สนับสนุนกิจกรรม “สรุปบทเรียน 20 ปี เครือข่ายฯ10 ปี กฎหมายฯ เส้นทางสู่ความเป็นพลเมืองไทย” ของเครือข่ายแก้ปัญหาการคืนสัญชาติคนไทยหรือคนไทยพลัดถิ่น
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปบทเรียน ปัญหา ความท้าทาย และความสำเร็จในการทำงานของเครือข่ายฯ และสรุปบทเรียน 10 ปี ภายหลังการประกาศใช้ พ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2555) ว่าด้วยการคืนสัญชาติไทยให้คนไทยพลัดถิ่นณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดระนอง อ.เมือง จ.ระนองซึ่งคณะทำงานของ กสม. นำโดย นางปรีดา คงแป้นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ ยังได้รับฟังความคิดเห็นจาก สมาชิกเครือข่ายคนไทยพลัดถิ่นกว่า 400 คน จาก 4 จังหวัดคือ ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง ชุมพร และพังงา และได้ร่วมกับ นายสมยศ พุ่มน้อย รองอธิบดีกรมการปกครอง พร้อมผู้แทนภาคีความร่วมมือ มอบบัตรประชาชนให้แก่คนไทยพลัดถิ่นจำนวน 52 คน ด้วย ซึ่งจากการลงพื้นที่ครั้งนี้ สามารถสรุปสาระสำคัญ ประกอบด้วย
1.คนไทยพลัดถิ่นเป็นผู้มีเชื้อสายไทย ที่ต้องกลายเป็นคนในบังคับของประเทศอื่น โดยเหตุอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของราชอาณาจักรไทยในอดีต และปัจจุบันคนกลุ่มนี้ได้อพยพกลับเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศแล้วนานกว่า 20 ปี มีการสำรวจขึ้นทะเบียนไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้รับการคืนสัญชาติไทยให้ครบถ้วน จึงเข้าไม่ถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน ดังนั้น กรมการปกครองควรเร่งการคืนสัญชาติให้คนกลุ่มนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
2.ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาของการบังคับใช้ พ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ 2555) กรมการปกครองได้ขึ้นทะเบียนคนไทยพลัดถิ่นไว้ประมาณ 18,000 คน คืนสัญชาติได้ประมาณ 10,000 คน โดยมีผู้ที่ยังไม่ได้คืนสัญชาติกว่า 8,000 คนขณะที่เครือข่ายฯ ให้ข้อมูลว่ายังมีผู้ผิดหลงทางทะเบียนผู้ถูกจำหน่าย ผู้ตกสำรวจ เด็กที่เกิดใหม่ และกลุ่มมุสลิมที่ยังไม่ชัดเจนในการจัดกลุ่ม อีกจำนวนกว่า 25,000 คน ดังนั้น กรมการปกครองและสภาความมั่นคง ควรสำรวจจำนวนผู้ตกค้างให้เกิดความชัดเจน โดยใช้กระบวนการสำรวจแบบมีส่วนร่วมของเครือข่ายฯ องค์กรชุมชน/ท้องถิ่น
3.กลุ่มคนไทยพลัดถิ่น เป็นเครือข่ายของคนไร้สัญชาติ ที่รวมกลุ่มรวมตัวกันเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งต่อเนื่องและยาวนาน รวมทั้งมีกระบวนการติดตามทวงถามการแก้ปัญหามาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เข้มแข็ง นอกจากนี้ กลุ่มคนไทยพลัดถิ่นทั้งที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม มีการช่วยเหลือเกื้อกูล แบ่งปันกัน จึงเป็นรูปธรรมของการอยู่ร่วมกันของชนต่างวัฒนธรรมที่น่ายกย่อง
4.นักวิชาการชี้ว่า บทเรียน 10 ปีของการบังคับใช้กฎหมายสัญชาติฉบับที่ 5 ยังมีปัญหา เนื่องจากการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ และการไม่กำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนในกระบวนการพิสูจน์ อีกทั้งคนไทยพลัดถิ่นจำนวนมากไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเขียนคำขอพิสูจน์ฯ และอาจเปิดโอกาสให้เกิดการทุจริตเรียกรับผลประโยชน์ และ 5.ในช่วงเวลา 10 ปี ของการรอคืนสัญชาติไทย กลุ่มคนไทยพลัดถิ่นเสียโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น ไม่มีสิทธิในที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน และเข้าไม่ถึงสิทธิสวัสดิการขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย
นางปรีดากล่าวว่า กฎหมายคืนสัญชาติให้กลุ่มคนไทยพลัดถิ่น ซึ่งมีสาระเพิ่มบทนิยามคนไทยพลัดถิ่นและให้มีคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ถือเป็นความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในแง่หนึ่งแล้ว หน่วยราชการควรเร่งดำเนินการและบูรณาการการทำงานแก้ไขปัญหาคนไทยพลัดถิ่นอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับอำเภอ จังหวัด และระดับประเทศ โดยต้องเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมด้วย
“กสม. มีแผนดำเนินการเรื่องคนไทยพลัดถิ่น โดยสนับสนุนการศึกษาปัญหาและทางออกของกฎหมายรวมถึงระเบียบและแนวปฏิบัติที่มีข้อจำกัด รวมทั้งการศึกษาสำรวจผู้มีปัญหาติดขัดในการยื่นคำขอฯ เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย โดยจะมีการหารือกับกรมการปกครองและสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป” นางปรีดา กล่าวในท้ายที่สุด